จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

“มัลเบอร์รี” ปลูกง่าย กำรายได้ต่อเดือนถึง 60,000 บาท!!!




มัลเบอร์รี หรือลูกหม่อน ผลไม้เทรนด์ใหม่เพื่อสุขภาพ รักษาสารพัดโรค ปลูกง่าย ให้ผลผลิตต่อเนื่อง สร้างรายได้ต่อเดือนกว่า 60,000 บาท
สวนพ่อสุรวุฒิ ตั้งอยู่ที่ ต.หลักสอง อ.บ้านแพ้ว สมุทรสาคร บริหารงานโดยคุณฐิติมา แท่นนิล และครอบครัว เจ้าของสวนมัลเบอร์รีและศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงตำบลหลักสอง  โดยคุณฐิติมาได้เล่าถึงที่มา ตลอดจนรายละเอียดต่าง ๆ ในการปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดนี้ให้ฟังว่า
“เป็นเกษตรกรมาตั้งแต่แรก ปลูกพืชแบบผสมผสาน มีฝรั่ง มะนาว มะพร้าว กล้วย ทำโดยยึดหลักตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง จนวันหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวงานเกษตรกำแพงแสน และได้ซื้อต้นมัลเบอร์รี หรือต้นหม่อน ติดมือกลับบ้านมา 2 ต้น โดยแบ่งกับพี่ชายคนละต้น ได้นำมาปลูกที่บ้านซึ่งต่อมาออกลูกดกจนกินไม่ทัน จึงเอาไปขายรวมกับผลผลิตอื่น ๆ  ซึ่งขายดี โดยลูกค้าที่มาซื้อได้บอกว่ามัลเบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง ช่วยลดสารก่อมะเร็ง นำไปปั่นเป็นน้ำแล้วให้ผู้ป่วยมะเร็งดื่มสามารถช่วยรักษาโรคได้ ซึ่งตัวเรากับสามีก็คิดว่าในเมื่อปลูกง่ายและขายดี มีคนซื้อ จึงปลูกเพิ่ม จากต้นเดียวกลายเป็นหลักสิบต้น ขายดีขึ้นเรื่อย ๆ จากกิโลกรัมละ 80 จนเป็น 200 บาทที่ราคาหน้าสวน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพืชหลักที่ทำรายได้ให้กับครอบครัวเพราะขายส่งรวมทั้งแปรรูปได้ราคาดี”
ซึ่งประโยชน์และคุณค่าของมัลเบอร์รีนั้น คุณฐิติมาอธิบายว่า
ควบคุมความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ควบคุมเบาหวาน
มีสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง
มีวิตามิน B6 ช่วยบำรุงเลือด ลดการเกิดสิวและปวดประจำเดือน
มีวิตามิน C สูง ป้องกันโรคภูมิแพ้ โรคปอด วัณโรค ป้องกันเชื้อไวรัส
ช่วยบำรุงให้เส้นผมดกดำ ป้องกันผมหงอกก่อนวัย
ในปัจจุบันสวนพ่อสุรวุฒิขยายการปลูกมัลเบอร์รีเป็น 300 ต้น ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ โดยผลผลิตที่ได้กระจายขายไปทั่วในเขตภาคกลาง สร้างรายได้เป็นที่น่าพอใจ
“ซึ่งวิธีการปลูกนั้นไม่ยาก สามารถปลูกได้ทั่วไป โดยสายพันธุ์ของเราคือ “กำแพงแสน 42” ซึ่งเป็นพันธุ์ที่มีลูกดก รสชาติหวาน เติบโตง่าย เหมาะกับพื้นที่ในเขตภาคกลาง โดยใช้กิ่งชำในการปลูก เว้นระยะห่างประมาณ 2-3 เมตรต่อต้น ปลูกทิ้งไว้โดยไม่ต้องดูแลอะไรมาก ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ช่วงที่แตกใบอ่อนฉีดยาบำรุงที่เป็นชีวภาพแค่ 1-2 ครั้งก็เพียงพอ ปลูกครบ 7-8 เดือนจะออกผลผลิตให้เก็บได้ หลังจากออกผลผลิตแล้วให้ตัดแต่งกิ่ง จากนั้นเว้นช่วง 3 เดือน ก็จะออกผลผลิตในครั้งต่อไป ซึ่งในสวนของเราปลูกเยอะถึง 300 ต้น จะออกลูกหมุนเวียนกันไปทำให้เก็บผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
โดยตอนนี้จำหน่ายที่ กาญจนบุรี ราชบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ และยังมีลูกค้าที่มารับจากสวนเพื่อไปขายต่อตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยราคาที่ขายอยู่นั้นจะอยู่ที่ 240-300 บาท แล้วแต่สถานที่ แต่สำหรับคนที่มาเที่ยวสวน ซึ่งเราเปิดเป็นที่เที่ยวด้วย จะขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 200 บาท ส่วนแม่ค้าที่มารับไปขายต่อ หากซื้อ 10 กิโลกรัมขึ้นไปจะอยู่ที่ 180 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง เพราะทางสวนมีค่าใช้จ่ายในการจ้างคนเก็บ ซึ่งค่าจ้างตรงนี้จะอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลฯ วันหนึ่งจะเก็บได้ประมาณ 8 กิโลฯ ดังนั้นจึงมีค่าใช้จ่ายในการจ้างแรงงานอยู่ที่ 300 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งรายได้แต่ละเดือนหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วจะมีกำไรอยู่ที่ 60,000-70,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่น่าพอใจสามารถเลี้ยงคนในครอบครัวได้อย่างสบาย”
ข้อดีของมัลเบอร์รีคือปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก แต่จะมีปัญหาบ้างเช่นกันในเรื่องของการเก็บเกี่ยว เพราะให้ผลผลิตจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 1 ตันในแต่ละเดือน ซึ่งเวลาเก็บนั้นจะเว้นได้แค่ 2 วัน เพราะหากปล่อยทิ้งไว้คาต้นก็จะเกิดเชื้อรา ต้องเก็บออกจากต้นทุก 2 วัน ไม่เกิน 3 วัน ส่วนในเรื่องการตลาดนั้นก็มีปัญหาเช่นกัน เพราะเป็นผลไม้ที่อายุน้อยวันที่สุด หากเก็บวันนี้ต้องขายให้หมดภายในวันถัดไป ถ้าไม่มีลูกค้ามาซื้อจะเน่าเสียหาย จึงต้องนำมาแปรรูป
ซึ่งผลิตภัณฑ์แปรรูปก็มีในส่วนของ น้ำมัลเบอร์รี สด 100% น้ำพร้อมดื่ม 30% โยเกิร์ตและแยมมัลเบอร์รี นอกจากนั้นยังส่งผลผลิตป้อนให้กับโรงงานเพื่อทำไส้ขนม และน้ำมัลเบอร์รีผสมว่านหางจระเข้ส่งออกนอก
และสำหรับคนที่สนใจ คุณฐิติมาแนะนำว่า
“เบื้องต้นควรไปศึกษาเรื่องตลาดก่อน ว่าปลูกแล้วจะขายให้ใคร ขายที่ไหน เพราะหากมีผลผลิตออกมาแต่ไม่มีตลาดให้ขาย ก็มีแต่ขาดทุน และหากสนใจจริงควรเริ่มปลูกน้อย ๆ ก่อนประมาณไม่เกิน 10-20 ต้น อย่าลงเยอะเป็นร้อยต้นเพราะจะทำให้เสี่ยง เนื่องจากมัลเบอร์รีหากไม่มีลูกค้ามารับหรือไม่มีตลาดที่จะกระจายสินค้าออกไปจะไม่สามารถขายได้แน่นอน เพราะเป็นผลไม้ที่คนยังรู้จักน้อย กลุ่มลูกค้าค่อนข้างจำกัด เป็นกลุ่มคนที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ ต้องจับตลาดให้ถูก โดยกลุ่มลูกค้าที่สนใจจะเป็นพนักงานออฟฟิศ โดยเฉพาะผู้หญิง หรือควรขายตามสถานที่ราชการ โรงพยาบาล”
ส่วนแนวทางการพัฒนาและต่อยอดในอนาคตนั้น คุณฐิติมามองว่า
“อยากทำตรงนี้ต่อไปให้ดีที่สุด ส่วนเรื่องการขยายพื้นที่ปลูกออกไปนั้นยังไม่ได้คิดเพราะเรายึดหลักพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งปัจจุบันก็ถือว่ามีความมั่นคงพอสมควร แล้วยังมีหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนไม่ว่าจะเป็น ม.เกษตร กำแพงแสน รวมทั้งโครงการหลวงต่าง ๆ มีงานให้ออกขายสินค้าตลอด ถือว่ายังดำเนินธุรกิจไปได้สวย คิดว่าจะสานต่อไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ที่สวนยังเปิดเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อให้ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าไปเรียนรู้ได้”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Facebook : สวนพ่อสุรวุฒิ โทร.08-5179-9239

17 อันดับ ของเล่นวัยเด็กที่ถูกลืมเลือน!!


 ในยุคที่ทันสมัยนี้ก็เป็นธรรมดาที่ของเล่นยุคเก่าที่จะถูกลืมเลือนหายไป อาจจะยังมีขายอยู่บ้างไม่มากก็น้อย แต่ก็คงหาได้ยากแล้วละ สำหรับของเล่นชิ้นต่างๆ ที่ผมจะนำมาเสนอ ให้เพื่อนๆ ได้ดูกันเกี่ยวกับของเล่นยุคเก่า ครั้งเยาว์วัย ของเพื่อนๆ หลายๆ คนที่ยังจำกันได้ของเล่นเหล่า บ้างคนอาจจะคุ้นเคยเลยก็ว่าได้  (ไม่ได้ดักแก่นะครับ) เพื่อนๆ คงจำกันได้ดีว่าวัยเด็กของแต่ละคนจะต้องมีของเล่นเหล่านี้ ผ่านมือมาบ้างละไม่มากก็น้อย แอดคนนึงละที่เคยผ่านของเล่นเหล่านี้มา พอสมควร สำยุคที่ทันสมัยนี้ มีแต่เทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่ ทำให้ของเล่นเก่าถูกลืมเลือนไป อย่างเช่น โทรศัพท์มือถือ ซึ่งสามารถเล่นเกมส์ที่เราต้องการได้ ให้ลูกเล่น ไอแพดงี้ จึงทำให้ของเล่นเหล่านี้หายไปเกือบเป็นการถาวร แต่ทว่าตามต่างจังหวัดก็ยังคงมีให้เห็นกันอยู่บ้าง ตามร้านขายของโชว์ห่วย เอาล่ะนอกเรื่องมาเยอะแล้วมาดูกันเลยดีกว่าครับกับ 17 อันดับ ของเล่นวัยเด็กที่ถูกลืมเลือน!!

17 อันดับ ของเล่นวัยเด็กที่ถูกลืมเลือน!!

1
1.  ดีดหนังยาง สำหรับของเล่นชิ้นนี้ง่ายๆ ได้ใจความมากแค่เอาหนังยางมาใส่ที่นิ้วแล้วดึง ให้มันยึดออกแล้วก็เล็งไปที่หูเพื่อน ขณะกำลังหลับ รับลองรู้เรื่องเลย คิดแล้วขำเลย ฮาฮาๆ

2
2.  อ่ะๆ เรือยาสีฟัน  เคยเล่นกันหรือป่าว ลองเล่นได้เลยไม่ต้องใช้อะไรมากเลยนอกจากยาสีฟัน หาใบไม้สักใบแล้วนำยาสีฟันไปแต้มที่ท้ายใบไม้ แล้วก็ปล่อยลงน้ำ ใบไม้จะวิ่งชิลๆ เลยเหมือนเรือหางยาวประมาณนั่น ใครยังไม่เคยลองเล่นดู เอาไว้แก้เหงาเล่นขำๆ

3
3. ของเล่นชิ้นนี้อันตรายขึ้นมาหน่อยเพราะถ้าเล่นไม่ถูกวิธีอาจจะเจ็บตัวได้ ของเล่นชิ้นนี้คือลูกข่างนั่นเอง สิ่งที่ต้องมีคือลูกข่าง และเชือกสำหนัก โยนนั่นเอง ม้วนแกนให้ดี แล้วแหว่งออกไป มันก็จะหมุนติ้วๆ แต่ถ้าม้วนไม่ได้มันก็จะล้ม (ข้อควรระวัง แกนกลางเป็นตะปูดีๆ นี้เองอย่าให้โดนใครเข้าละ)

KPN0074
4.  ของเล่นอีกชิ้นที่มีประโยชน์ในหลายด้านนั่นคือ ดินน้ำมัน ที่สามารถทำมาปั่นเป็นอะไรที่ได้ที่สามารถปั่นได้  ทำเป็นรางเอาไว้เป่า เล่น เป็นรถเครื่องบิน แล้วแต่เลย อีกทั้งยังสามารถนำไปอุดลอยรั่วต่างๆ ได้อีกด้วย

5
5.  ของเล่นชิ้นนี้จะมีอาจารย์สอนช่วง ป.4-ป.6 ได้นะครับถ้าจำไม่ผิด โดยของเล่นชิ้นนี้คือ จั๊กจั่น ที่เรียกชื่อนี้เพราะเสียงที่มันส่งออกมาเป็นเสียงคล้าย จั๊กจั่น นั่นเอง  แอดมินเคยทำอยู่ จำได้แต่ไม่หมด มีท่อ pvc ที่เรื่อยให้เล็กๆ มีเชือก ตะเกียบ และก็ส่วนสำคัญ คือยาง อะไรเนี้ยและอีกสักอัน พอถือขึ้นมาแล้วหมุนจะส่งเสียงออกมา

6
6. ของเล่นชิ้นนี้ไม่ขายที่ไหนนอกจากอยู่ตามธรรมชาติ จะเรียกว่าของเล่นได้หรือป่าวนั่นก็ไม่แน่ใจ สำหรับตอนเด็กๆ ถือว่าสนุกสนานมากของเล่นชิ้นนี้ นั่นคือ เมล็ดเปอะแปะ นั่นเอง เฉพาะเมล็ดอะนะแต่แท้ที่จริงของมันเรียกว่า เมล็ดต้อยติ่ง

7
7.  ตุ๊กตากระดาษ ของเล่นชิ้นนี้เป็นชิ้นแรกเลยก็ว่าได้ สำหรับตุ๊กตากระดาษที่เพื่อนๆ สามารถแต่งตัวได้ต่อจากนั่นก็เริ่มเข้าสู่ยุคของตุ๊กตา บาบี้ พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงยุคปัจจุบันนี้

8
8.  ของเล่นคราสสิคชิ้นนี้คนสมัยนี้ แอดมินว่ายังคงรู้จักกันดี ของเล่นชิ้นนี้คือลูกแก้วนั่นเอง ขุดหลุมสักหลุม แล้วโยนให้ใกล้หลุมมากที่สุด แล้วก็แข่งกันยิงว่าใครจะเข้าหลุมก่อน

9
9.  ของเล่นพื้นบ้าน ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยอย่าง หมากเก็บ ของเล่นชิ้นนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณเลยก็ว่าได้ นิยมเล่นกันมากเลยทีเดียว ว่าใครจะไวกว่ากัน แอดมินลืมวิธีเล่นไปแล้วไม่ได้เล่นนานจัด

10
10.  ของเล่นกระดาษอีกชิ้นหนึ่งที่ไม่ต้องไปไหนไกลนั่นคือ รถกระดาษ ที่ตอนเด็กๆ ใครหลายๆ คนเคยฉีกกระดาษสมุดคู่หน้ากลางออกมาพับเล่นกันอย่างสนุกสนาน และนำมาเป่าแข่งกันจนถึงเส้นชัย จนสมุดไม่เหลือทำการบ้านกันเลยทีเดียว

11
11.  ของเล่นชิ้นนี้ยังไม่หายไปไหนแถมยังดังระดับโลกแทนของเล่นชิ้นนี้คือ โยโย่ นั่นเอง แถมกลายเป็นกีฬาระดับโลกไปเลยอีกตั้งหากมีการแข่งขันต่างๆ มากมาย ในสมัยเด็กกว่าจะเล่นได้ ควงขึ้นลง กว่าจะได้แต่ละท่า ฝึกเล่นนานพอสมควรเลย

12
12. ลูกโป่ง วิทยาศาสตร์ ของเล่นชิ้นนี้เล่นเป่ากันซะปวดกรามกันเลยทีเดียว เป่าขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง ตอนเด็กๆ แอดมินเชื่อว่าใครหลายคน ยังจำของเล่นชิ้นนี้ได้แน่นอน แค่นำมาแบะใส่ท่อเป่า แล้วก็จัดเต็มสูบ ปู้ดๆๆ เช้ามาปวกกราม ฮาฮา

13
13.  ของเล่นชิ้นแรกเป็นของเล่นที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ไหนก็เล่นได้ ของเล่นชิ้นนี้คือ เครื่องบินกระดาษหรือเครื่องร่อนนั่นเอง เป็นของเล่นในวัยเด็กไม่มียุคไหนก็ยังมีการเลนของเล่นชนิดนี้อยู่ร่อนลงมาจากอาคารเรียน ให้มันบินได้ไกลๆ ยกตัวอย่างที่มีเด็กไทยแข่งร่อนเครื่องบินกระดาษได้อันดับที่ 3 มาครอง นั่นเอง

14
14.  ม้าก้านกล้วย  ของเล่นพื้นบ้านตั้งแต่ยุคกรุงเก่ากันเลยทีเดียว สมัยนี้น่าจะมีแต่ต่างจังหวัดนะครับที่ยังมีการเล่นกันบ้าง แต่สมัยนี้ในตัวเมืองหาต้นกล้วยยากแล้วละ

15
15.  ทอยเส้น อีกหนึ่งการละเล่นของคนไทยสมัยก่อน ที่มีมาแต่โบราณ สำหรับการเล่นอันนี้คือใครที่โยนให้ได้ใกล้เส้นมาที่สุดชนะไป เล่นง่ายสนุก ฝึกความแม่นยำและใช้แรงในการโยน

16
16.  เป่าหนังยาง อันนี้ในสมัยนี้ยังมีเล่นกันอยู่ไมนะ สำหรับการละเล่นอันนี้เป็นการแข่งกันเป่าหนังยางให้ไปทับอีกเส้นหนึ่งของผู้เล่นอื่นถือเป็นการฝึกการกำหนดลมหายใจไปในตัว

17
17.  โดดหนังยาง ของเล่นชิ้นนี้เป็นชิ้นที่เด็กผู้หญิงนิยมเล่นกันเป็นส่วนใหญ่ แต่แท้ที่จริงของเล่นชิ้นนี้เอาไว้ออกกำลังกายดีๆ นี้เอง ฝึกไหวพริบการตอบสนองความเร็ว ฝึกกล้ามเนื้อ ฝึกการหายใน กำหนดจังหวะครบเลยทีเดียว

เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 17 อันดับ ของเล่นวัยเด็กที่ถูกลืมเลือน!!  แต่ก็มีการระเล่นปะปนมาด้วยนะครับ ก็คือๆ กัน หายไปทีละอย่าง 2 อย่าง แต่บ้างอันก็ลืมไม่ได้อย่างอันแรก การดีดหนังยางเป็นอะไรที่ก่อกวนเพื่อนๆ ได้เป็นอย่างดี แกล้งสาวๆ ได้

แจกสูตร “21 น้ำจิ้มยอดฮิต” สารพัดความอร่อย เด็ดสุดๆ จนต้องบอกต่อ!!




ในชีวิตนี้เราคงจะเคยทาน “น้ำจิ้ม” มาหลากหลายรูปรส เป็นที่รู้กันดีว่าอาหารบางอย่างไม่อาจจะเสิร์ฟได้หากขาดน้ำจิ้ม เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยเสริมรสชาติของอาหารให้อร่อยได้เต็มที่
คราวนี้ ในบ้าน มีสูตรน้ำจิ้มยอดฮิตมาฝากกัน แต่ละชนิดก็มีเอกลักษณ์และเหมาะกับอาหารแตกต่างกันไป ลองไปดูกันว่ามีสูตรอะไรบ้าง ^_^

21 สูตรน้ำจิ้มยอดฮิต เด็ดและโดน จนต้องลอง!!
1. น้ำจิ้มสุกี้
21-dipping-sauce-recipes (1)
ถ้าวันไหนครอบครัวของคุณเกิดอยากจะจัดปาร์ตี้สุกี้ขึ้นมา แล้วกลัวว่า น้ำจิ้มที่ซื้อมาจะไม่พอ ก็มาทำกินเองซะเลยดีกว่า ได้ทีเดียวหม้อเบ้อเริ่ม เป็นน้ำจิ้มสุกี้สูตรมาจาก คุณ Mr Trin สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สิ่งที่ต้องเตรียม
ซอสพริก 1 ขวดใหญ่
น้ำส้มสายชู 3 ทัพพี
ซอสมะเขือเทศ 1 ทัพพี
ซีอิ๊วขาว 3 ทัพพี
ซอสหอยนางรม 1 ทัพพี
กระเทียมดอง 2 ทัพพี
น้ำตาลทราย 3 ทัพพี
พริกชีฟ้าแดง 9 เม็ด
กระเทียม 6 กลีบ
เต้าหู้ยี้ 4 ชิ้น
งาขาวคั่ว บดพอหยาบ 1 กำมือ
น้ำมันงา 2 ทัพพี
ผักชี และผักชีฝรั่งซอย
วิธีทำ
1. ใส่ซอสพริกลงในกระทะ ตามด้วยน้ำส้มสายชู ซอสมะเขือเทศ ซีอิ๊วขาว ซอสหอยนางรม น้ำกระเทียมดอง และน้ำตาลทราย คนผสมให้เข้ากัน เตรียมไว้
2. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้เข้ากันจนแหลก ใส่เต้าหู้ยี้พร้อมน้ำลงไป บดทุกอย่างจนเข้ากัน จากนั้นตักใส่ในกระทะที่มีซอสพริก
3. คนส่วนผสมในกระทะเข้าด้วยกัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนคนผสมจนเดือด ปิดไฟ
4. ใส่งาขาวคั่วบดลงไป ตามด้วยน้ำมันงา ค่อย ๆ คนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ผักชีและผักชีฝรั่งซอย คนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้กินกับสุกี้
2. น้ำจิ้มซีฟู้ด
21-dipping-sauce-recipes (2)
อีกหนึ่งสูตรน้ำจิ้มที่ใคร ๆ ก็อยากจะมีไว้ในครอบครอง เพราะน้ำจิ้มซีฟู้ดสามารถนำไปจิ้มกินกับอาหารได้หลายอย่าง แต่ที่นิยมก็คงจะเป็นอาหารทะเล ย่างสด ๆ ร้อน ๆ จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดเด็ด ๆ แบบนี้ อร่อยเด็ด !
ส่วนผสม
พริกขี้หนูสวน 20 เม็ด
พริกขี้หนูเม็ดใหญ่ 20 เม็ด
กระเทียมไทยแกะเปลือก 1/2 ถ้วย
รากผักชี 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 7 ช้อนชา
น้ำมะนาว 1/2 ถ้วย
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่พริกขี้หนูทั้งหมดลงในเครื่องปั่น ตามด้วยกระเทียม รากผักชี เกลือ น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว ปั่นให้เข้ากันพอหยาบ
2. ใส่น้ำต้มสุกลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
3. น้ำจิ้มหมูกระทะ
21-dipping-sauce-recipes (3)
คงจะมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่ชอบทำหมูกระทะกินกันเอง สนุกสนานเฮฮาปาร์ตี้กันไป นอกจากจะหมักหมู และเครื่องต่าง ๆ ให้อร่อยแล้ว หัวใจหลักสำคัญของอาหารปิ้งย่างก็ต้องอยู่ที่น้ำจิ้มด้วย ไปซื้อแบบสำเร็จมากินก็ไม่ถูกปาก ลองมาทำกินเองดีกว่าตามสูตรที่เรานำมาฝากนี้เลย รับรองว่า อร่อยครับ
ส่วนผสม
ซอสมะเขือเทศ 1 ถ้วย
ซอสพริก 3/4 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
เต้าหู้ยี้ บดพอหยาบ 1 ก้อน
น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
ผงพะโล้ 1/2 ช้อนชา
งาขาวคั่ว 3 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก ซีอิ๊วขาว และเต้าหู้ยี้ ลงในหม้อคนผสมให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟปานกลาง คนผสมตลอดเวลาจนเดือด
2. ใส่น้ำมันงา พริกไทย ผงพะโล้ และงาขาวคั่วครึ่งหนึ่งลงไป คนผสมจนเดือดอีกครั้ง ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย โรยงาขาวคั่ว พร้อมเสิร์ฟ
4. น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะ
21-dipping-sauce-recipes (4)
เมนูหมูสะเต๊ะถือเป็นอีกหนึ่งอาหารที่มีเสน่ห์อยู่ที่น้ำจิ้ม เนื้อสัตว์หมักเครื่องเทศย่าง กินคู่กับน้ำจิ้มสะเต๊ะผัดหอม ๆ รสหวานกลมกล่อม ๆ ยิ่งได้กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดยิ่งอร่อยครบรสขึ้นไปอีกว่าแล้วก็มาจดสูตรน้ำจิ้มสะเต๊ะไปลองทำกันเลยครับ
ส่วนผสม
กะทิ 2 ถ้วย
ถั่วลิสงคั่วบดหยาบ 1/2 ถ้วย
น้ำพริกแกงเผ็ด 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทรายปี๊บ 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 3 ช้อนโต๊ะ
เกลือสมุทร 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ใส่กะทิ 1 ถ้วย ลงในกระทะ นำขึ้นตั้งไฟปานกลางเคี่ยวจนกะทิแตกมัน ใส่น้ำพริกแกงและถั่วลิสงคั่วบดลงผัดให้เข้ากัน เติมกะทิที่เหลือ คนผสมให้เข้ากัน ลดไฟลง หมั่นคนตลอดเวลา
2. ใส่น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และเกลือ เคี่ยวจนข้น และมีน้ำมันลอยหน้า ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
5. น้ำจิ้มอาจาด
21-dipping-sauce-recipes (5)
ในเมื่อมีน้ำจิ้มสะเต๊ะอร่อย ๆ แล้ว ก็ต้องมาคู่กับน้ำจิ้มอาจาด เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกันด้วย น้ำจิ้มอาจาดไม่ใช่แค่กินกับเมนูสะเต๊ะได้อย่างเดียวเท่านั้น ยังสามารถนำไปกินกับพวกทอดมัน ขนมปังหน้าหมู หรืออาหารทอด ๆ อย่างอื่นได้อีกด้วย
ส่วนผสม
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/3 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
แตงกวาซอย
หอมแดงซอย
พริกใหญ่ซอยชี้ฟ้าแดงเม็ด

วิธีทำ
1. ใส่น้ำส้มสายชูและน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย เติมเกลือลงไปเล็กน้อย ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. เวลาเสิร์ฟ ตักอาจาดใส่ถ้วย ตามด้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย และพริกชี้ฟ้าแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
6. น้ำจิ้มแจ่ว
SAMSUNG
SAMSUNG
เชื่อเลยว่า น้ำจิ้มแจ่วสไตล์อีสานเป็นอีกหนึ่งน้ำจิ้มที่หลายคนชอบ แต่ไม่รู้ว่า ถ้าทำกินเอง จะอร่อยเหมือนที่แถมมาจากร้านหรือเปล่า รับรองว่าสูตรน้ำจิ้มแจ่วด้านล่างนี้ อร่อยเป๊ะ ! เป็นสูตรมาจากคุณเนินน้ำ
ส่วนผสม
น้ำมะขามเปียก 50 กรัม
น้ำอุ่น 1 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ข้าวคั่วป่น 1 ช้อนโต๊ะ
ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ
หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอนุ่ม คั้นแล้วกรองเอาแต่น้ำ เตรียมไว้
2. ผสมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บและน้ำปลาเข้าด้วยกันในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟปานกลาง เคี่ยวจนเหนียว เติมพริกป่น ข้าวคั่วป่น คนพอเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนอุ่น
3. ตักใส่ถ้วยโรยด้วยผักชีฝรั่งซอย และหอมแดงซอย พร้อมเสิร์ฟ
7. น้ำจิ้มลูกชิ้น
21-dipping-sauce-recipes (7)
21-dipping-sauce-recipes (7)
เวลาซื้อลูกชิ้นสุดโปรดแบบเป็นกิโล ๆ มากิน ถึงแม้ว่าเนื้อลูกชิ้นจะอร่อยนุ่มนิ่มขนาดไหน แต่ถ้านำมาจิ้มกินกับน้ำจิ้มไก่สำเร็จรูปธรรมดา ๆ ก็หมดราคากันพอดี แบบนี้ก็ต้องทำน้ำจิ้มลูกชิ้นไว้กินเองได้แล้ว
ส่วนผสม
พริกแห้งแกะเมล็ดออกแช่น้ำจนนุ่ม 20 เม็ด
กระเทียมไทยแกะเปลือก 3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมดอง 3 หัว
น้ำ 1 ถ้วย
น้ำมะขามเปียก 1 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 3/4 ถ้วย
เกลือสมุทร 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ
1. ใส่พริกแห้ง กระเทียม กระเทียมดอง และน้ำลงในเครื่องปั่น ปั่นให้ละเอียด ตักใส่ถ้วย เตรียมไว้
2. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลทราย และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย จากนั้นใส่เครื่องที่ปั่นไว้ลงไป เคี่ยวจนข้นเหนียว ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิรฟ
8. น้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวาน
21-dipping-sauce-recipes (8)
21-dipping-sauce-recipes (8)
พอถึงหน้าสะเดาออกดอก วัยรุ่นเก๋า ๆ หน่อยก็จะปลื้มปริ่ม เพราะจะได้ซื้อสะเดามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวาน แต่ถ้าเป็นวัยว้าวุ้นก็คงจะร้องยี้ให้กับความขมปี๋ของสะเดา แต่พอเอามาจิ้มกินกับน้ำปลาหวานก็ช่วยลดความขมลงไปได้เยอะ แถมเข้ากันดีอย่าบอกใครเชียว ถ้าที่บ้านไหนได้รับสะเดามาเป็นของฝากหน้าหนาว ก็ลองมาทำน้ำจิ้มสะเดาน้ำปลาหวานกินกันเองเลยดีกว่า
ส่วนผสม
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 3/4 ถ้วย
น้ำปลา 1/4 ถ้วย
หอมแดงซอย 1/2 ถ้วย
หอมแดงเจียว
พริกขี้หนูแห้งทอด
วิธีทำ
1. ใส่น้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ และน้ำปลา ลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้พออุ่น
2. ใส่หอมแดงซอย คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย โรยหอมแดงเจียว และพริกขี้หนูแห้งทอด พร้อมเสิร์ฟ
9. น้ำจิ้มข้าวมันไก่
21-dipping-sauce-recipes (9)
21-dipping-sauce-recipes (9)
ข้าวมันไก่หลากหลายสูตร จะเจ้าดัง ๆ หรือไม่ดัง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ทีเด็ดดความอร่อยนั้นอยู่ที่น้ำจิ้ม ถ้าน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อยก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว แต่ถ้าคุณอยากจะลองทำข้าวมันไก่พร้อมน้ำจิ้มกินเอง จะไปกลัวอะไร เพราะเรามีสูตรน้ำจิ้มข้าวมันไก่อร่อย ๆ มาฝากแล้ว
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยว บดพอหยาบ 3 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น สำหรับปรุงรส
น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ
ขิงอ่อนสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูแดงสับละเอียด
วิธีทำ
1. ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกัน คนผสมจนละลายเข้ากันดี ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
10. น้ำจิ้มข้าวหมกไก่ (น้ำจิ้มสะระแหน่)
21-dipping-sauce-recipes (10)
21-dipping-sauce-recipes (10)
หลายคนเรียกน้ำจิ้มชนิดว่า น้ำจิ้มข้าวหมกไก่กันจนติดปาก และอาจจะนึกไปว่าทำมาจากพริกขี้หนูเขียวผสมกับใบโหระพาหรือผักชี แต่จริง ๆ แล้วเป็นน้ำจิ้มที่ผสมใบสะระแหน่ เลยทำให้น้ำจิ้มข้าวหมกไก่มีกลิ่นหอมเย็น ๆซึ่งสูตรนี้เป็นสูตรมาจาก คุณบ่งบ๊ง ที่นำเสนอไว้ในวิธีทำข้าวหมกไก่ แถมน้ำจิ้มข้าวหมกไก่สูตรนี้ยังสามารถนำไปกินกับก๋วยเตี๋ยวลุยสวนได้อีกด้วยนะครับ
ส่วนผสม
น้ำส้มสายชู
น้ำตาลทราย
กระเทียมกลีบเล็ก 20 กลีบ
พริกชี้ฟ้าเขียว หรือพริกขี้หนูเขียว
ผักชีไทย
ใบสะระแหน่
เกลือป่น
นมเปรี้ยว (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
วิธีทำ
1. ใส่น้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนน้ำตาลทรายละลาย พักไว้จนเย็น
2. ใส่กระเทียม พริก ผักชีไทย และใบสะระแหน่ลงในเครื่องปั่น ปั่นผสมให้ละเอียด เทใส่ลงในส่วนผสมน้ำส้มสายชู เติมเกลือป่น ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
11. น้ำจิ้มหอยทอด
21-dipping-sauce-recipes (11)
21-dipping-sauce-recipes (11)
หอยทอดก็เป็นอาหารจานเดียวอีกหนึ่งเมนูที่คนนิยมทำกินกันเองที่บ้าน เพราะวิธีทำไม่ได้ยากจนเกินไป แน่นอนว่า หอยทอดจะอร่อยได้ครบรสนั้น ต้องมีน้ำจิ้มหอยทอดอร่อย ๆ เคียงคู่กันมาด้วย ไหน ๆ ก็ทำหอยทอดกินเองแล้ว ก็ทำน้ำจิ้มหอยทอดกินเองไปด้วยเลยน่าจะดีนะครับ
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าแดงโขลกละเอียด 2 เม็ด
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
เกลือสมุทร 1 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู 3/4 ถ้วย+2 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก 1/2 ถ้วย
วิธีทำ
1. ใส่น้ำตาลทราย เกลือ และน้ำส้มสายชูลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟอ่อน เคี่ยวจนส่วนผสมข้นและเหนียว ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น
2. ใส่พริกชี้ฟ้าโขลกละเอียด และซอสพริก ลงไปคนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
12. น้ำจิ้มข้าวขาหมู
21-dipping-sauce-recipes (12)
21-dipping-sauce-recipes (12)
ข้าวขาหมู ถ้าให้กินแบบไม่มีน้ำจิ้มก็คงจะเลี่ยนไปหน่อย ใครที่ทำข้าวขาหมูเป็นแล้วก็ลองมาทำน้ำจิ้มข้าวขาหมูรสเปรี้ยว ๆ เผ็ด ๆ กินแก้เลี่ยนควบคู่กันไปด้วย
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าเหลือง 10 เม็ด
กระเทียมไทย 20 กลีบ
รากผักชี 3 ราก
เกลือสมุทร 2 ช้อนชา
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกชี้ฟ้าเหลือง กระเทียม รากผักชี และเกลือเข้าด้วยกันพอหยาบ
2. เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลทรายลงไป คนให้น้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
13. น้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลา (สูตรโบราณ)
21-dipping-sauce-recipes (13)
21-dipping-sauce-recipes (13)
ถึงเวลาไหว้เจ้าทีไร ก็จะได้กินไก่ต้มน้ำปลา หรือไก้ต้มถาดเบ้อเริ่ม แต่ถ้ากินแบบไร้น้ำจิ้มแซ่บ ๆ คงจะจืดชืดไร้รสชาติ มาทำน้ำจิ้มไก่ต้มน้ำปลากินเองซะเลยดีกว่า เตรียมไว้เวลาไหว้เจ้าปีหน้า จะได้พร้อมแซ่บ !
ส่วนผสม
พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ
กระเทียม 5 กลีบ
เกลือป่น สำหรับปรุงรส
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกขี้หนู กระเทียม และเกลือป่นพอหยาบ เติมน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บลงไป คนผสมให้ละลายเข้ากัน ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย เสิร์ฟพร้อมไก่ต้มน้ำปลา
14. น้ำจิ้มขนมจีบ
21-dipping-sauce-recipes (14)
21-dipping-sauce-recipes (14)
ใครที่ชอบกินขนมจีบเป็นชีวิตจิตใจ แต่ดันไม่ชอบกินคู่กับซอสเปรี้ยวหรือน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่เหม็น ๆ ก็ลองมาทำน้ำจิ้มขนมจีบสูตรนี้ เตรียมไว้กินกับขนมจีบดู ถึงจะมีจิ๊กโฉ่ผสมอยู่ด้วย แต่รสชาติกลมกล่อม เปรี้ยวอมหวาน อร่อยแน่นอน
ส่วนผสม
พริกชี้ฟ้าแดง 2 เม็ด
กระเทียมไทย 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
ซอสเปรี้ยว (จิ๊กโฉ่) 2 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. โขลกพริกชี้ฟ้ากับกระเทียมเข้าด้วยกันจนละเอียด เตรียมไว้
2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย จิ๊กโฉ่ และเกลือลงในหม้อ เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนน้ำตาลละลาย ใส่เครื่องที่โขลกไว้ คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ ยกลงจากเตา ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
15. น้ำจิ้มปลาลวกจิ้ม
21-dipping-sauce-recipes (15)
21-dipping-sauce-recipes (15)
เวลากินอาหารประเภทลวกจิ้ม เราก็จะได้เห็นน้ำจิ้มเต้าเจี๊ยวเสิร์ฟมาเคียงคู่อยู่เสมอ กินคู่กันได้ความอร่อยที่เข้ากันดีมาก รสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป แถมยังดับกลิ่นคาวของปลา หรืออาหารทะเลได้หมดจดอีกด้วย
ส่วนผสม
เต้าเจี้ยวดำ บดพอหยาบ 1/3 ถ้วย
ขิงแก่โขลกละเอียด 3 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสีเขียว-แดงสับหยาบ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วย
น้ำมะนาว 1/4 ถ้วย
น้ำตาลทราย 2 1/2 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ใส่เต้าเจี้ยวดำบดลงในอ่างผสม ใส่ขิง พริกขี้หนู และน้ำต้มสุก คนผสมให้เข้ากัน
2. ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว และน้ำตาลทราย คนผสมจนน้ำตาลละลาย ชิมรสตามชอบ ตักใส่ถ้วย พร้อมเสิร์ฟ
16. น้ำจิ้มเต้าหู้ทอด